การอภิเษกสมรส ของ เลโอนอร์แห่งกัสติยา (สิ้นพระชนม์ ค.ศ. 1244)

ตราประทับของพระราชินีเลโอนอร์

พระเจ้าอัลฟอนโซที่ 8 กับพระราชินีเลโอนอร์แห่งแพลนทาเจเนต พระบิดามารดาของพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1214 เลโอนอร์ยังคงพำนักอยู่ในปราสาทจนกระทั่งพระเจ้าเอนริเกที่ 1 พระอนุชาของพระองค์สิ้นพระชนม์ในปี ค.ศ. 1217[2] พระองค์อภิเษกสมรสในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1221 กับพระเจ้าไชเมที่ 1 ผู้พิชิต กษัตริย์แห่งอารากอน ตามการแนะนำของพระราชินีเบเรงเกลาแห่งกัสติยา พระเชษฐภคินี ในเมืองอาเกรดา แคว้นโซเรีย

ในขณะนั้นพระองค์พระชนมายุ 19 พรรษา ส่วนพระเจ้าไชเมที่ 1 มีพระชนมายุเพียง 14 พรรษา[2] พระองค์ได้รับทรัพย์สินที่ดินมากมายเป็นสินสมรสจากพระสวามี หนึ่งในนั้นคือเมืองดาโรกา, เอปิลา, อุนกัสติโย, บาร์บัสโตร และหลังเสร็จสิ้นพิธีอภิเษกสมรส ทั้งคู่เดินทางไปที่นครตาราโซนาของอารากอนที่ปัจจุบันอยู่ในแคว้นซาราโกซา ซึ่งพระเจ้าไชเมที่ 1 ผู้พิชิตได้รับการประดับยศอัศวินในอาสนวิหารซันตามารีอาเดลาเบกาเดตาราโซนา[3]

การแต่งงานได้ให้กำเนิดพระโอรสหนึ่งคน คือ

  • อัลฟอนโซแห่งบีกอร์[4] แต่งงานกับกงส์ต็องส์แห่งมงกาดา เคาน์เตสแห่งบีกอร์

ในปี ค.ศ. 1229 สมเด็จพระสันตะปาปาเกรกอรีที่ 9 ได้ประกาศให้การแต่งงานเป็นโมฆะตามการเรียกร้องของพระสวามีของพระองค์ที่ให้เหตุผลว่าทั้งคู่เป็นญาติใกล้ชิดกัน[2] ปี ค.ศ. 1234 ในการเจรจาที่เกิดขึ้นที่อารามซันตามารีอาเดอูเอร์ตาซึ่งตั้งอยู่บนพรมแดนระหว่างราชอาณาจักรกัสติยากับราชอาณาจักรอารากอน พระเจ้าเฟร์นันโดที่ 3 ผู้เป็นนักบุญ พระภาคิไนยของพระราชินีเลโอนอร์ กับพระเจ้าไชเมที่ 1 ทำข้อตกลงร่วมกันว่าตราบใดที่พระราชินีเลโอนอร์ยังไม่แต่งงานใหม่ พระองค์จะได้รับเมืองและปราสาทอาริซา และจะยังคงได้ครอบครอบดินแดนและสิทธิ์เก็บกินในสินสมรสในราชอาณาจักรอารากอนที่พระองค์เคยได้รับ กษัตริย์อารากอนสัญญาว่าจะไม่พรากอินฟันเตอัลฟอนโซ พระโอรสที่อยู่กับพระองค์ไปจากพระองค์[2] อัลฟอนโซได้รับการประกาศให้เป็นพระโอรสตามกฎหมาย แต่กลับสิ้นพระชนม์ก่อนพระบิดา ส่งผลให้พระอนุชาต่างมารดาซึ่งเป็นพระโอรสของโยแลนแห่งฮังการี (พระมเหสีคนที่สองของพระเจ้าไชเม) สืบทอดราชอาณาจักรต่อจากพระเจ้าไชเมเมื่อพระองค์สิ้นพระชนม์

ใกล้เคียง